Passive Voice ภาษาอังกฤษ

By | December 24, 2014

Voice (วาจก) คือ ลักษณะการกระทำของกริยาในประโยค มี 2 อย่าง ได้แก่ active voice (กรรตุวาจก) และ passive voice (กรรมวาจก)

1. Active Voice ได้แก่รูปกริยาซึ่งประธาน (subject) เป็นผู้กระทำ (doer) หรือแสดงกริยาตัวนั้น เช่น

Dang kicked the ball
แดงเตะลูกบอล (แดงซึ่งเป็นประธานเป็นผู้กระทำอาการเตะ)

2. Passive Voice ได้แก่รูปกริยาซึ่ง ประธาน ของมันเป็นผู้ถูกกระทำกริยานั้นโดยผู้อื่น หรือ ได้รับผลจากกริยาตัวนั้น เช่น

The ball was kicked by Dang.
ลูกบอลถูกเตะโดยแดง (ลูกบอลซึ่งเป็นประธาน เป็นผู้ถูกกระทำ คือถูกเตะ)

หลักทั่วไปในการสร้างประโยค passive จากประโยค active
1. กลับ กรรม (object) ของประโยค active มาเป็นประธาน (subject) ในประโยค passive

2. กริยาของประโยค passive อยู่ในรูป verb to be กริยาช่องที่สาม” verb to be (is, am, are, was, were, etc.) จะต้องอยู่ใน tense เดียวกันกับ tense ของกริยาเดิมในประโยค active

3. กรรม (object) ของประโยค passive ต้องวางไว้หลัง by กรรมของประโยค passive เรียกว่า agent
( = สิ่งซึ่งเป็นผู้ก่อให้เกิดอาการของกริยาโดยแท้จริง) แต่เพราะมันไปอยู่หลัง by จึงกลายเป็น object
Active                                        Passive
He teaches her.                       She is taught by him.
He taught her.                         She was taught by him.
He will teach her.                   She will be taught by him.
He is teaching her.                She is being taught by him.
He was teaching her.            She was being taught by him.
He will be teaching her.      She will be being taught by him.
He has taught her.                 She has been taught by him.
He had taught her.                 She had been taught by him.
He will have taught her.      She will have been taught by him.

หมายเหตุ ไม่นิยมใช้รูป passive ใน Perfect Continuous Tenses

Passive Form ของ Infinitive และ Gerund
Infinitive                                     Gerund
Active          Passive               Active     Passive
to take               to be taken              taking           being taken
must take         must be taken        meeting        being, met
to meet              to be met
should meet    should be met

1. I want them to take this table away.
ผมต้องการให้พวกเขาเอาโต๊ะตัวนี้ไปที่อื่น
= I want this table to be taken away.
ผมต้องการให้โต๊ะตัวนี้ถูกยกไปไว้ที่อื่น

2. You must take this table away.
= This table must be taken away.

3. She has avoided meeting you so far.
หล่อนหลีกเลี่ยงการพบคุณตลอดมา
= She has avoided being met (by you) so far.

4. The servant complained of being overworked.
คนใช้บ่นที่ถูกใช้งานมากเกินไป

5. The little boy was very naughty in spite of being punished nearly every day.
เด็กเล็กๆ คนนั้นซนมาก ทั้งๆ ที่ถูกทำโทษอยู่เกือบทุกวัน

การใช้ประโยค active และ passive
(a) Dang is cleaning the car.
(b) The car is being cleaned by Dang.

ในประโยคข้อ (a) จุดสนใจในประโยคนี้ก็คือ แดง (ซึ่งเป็นประธานของประโยค) ผู้พูดประโยคเช่นนี้มีความมุ่งหมายจะให้ผู้ฟังเข้าใจว่า แดงกำลังทำอะไรเท่านั้น

ในประโยคข้อ (b) จุดสนใจในประโยค (b) ก็คือ รถ (ซึ่งเป็นประธานของประโยค) ผู้พูดประโยคทำนองนี้ มีความมุ่งหมายจะให้ผู้ฟังรู้ว่า “อะไรบังเกิดขึ้นแก่รถ” ผู้พูดมีความสนใจในตัว แดง เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ขอให้เปรียบเทียบกับประโยค (a) ซึ่งมีจุดสนใจอยู่ที่ แดง มิได้อยู่ที่ รถ

เนื่องจากจุดสนใจในประโยค passive มิได้อยู่ที่ agent  หลัง by เลย ดังนั้นในทางปฏิบัติจึงไม่นิยมกล่าวถึง object หลัง by (โดยเฉพาะเมื่อประธานของประโยค active ได้แก่ They, we, someone, no one, people, etc.)

1. No one has used that door for twenty years.
= That door hasn’t been used for twenty years.
ไม่มีใครใช้ประตูนั้นมาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว

2. Readers must not take away books in the Reference Library.
= Books in the Reference Library must, not be taken away.
จะเอาหนังสือไปจากห้องหนังสืออ้างอิงไม่ได้ (คือหนังสือเพื่อการค้นคว้าอ้างอิงนั้น ผู้ใดจะเอาไปไม่ได้)

3. Someone stole my watch this morning.
=My watch was stolen this morning.
เมื่อเช้านี้นาฬิกาของผมถูกขโมยไป

4. They make bottles of glass.
= Bottles are made of glass.
ขวดทำด้วยแก้ว

5. Have you fed the chickens yet ?
= Have the chickens been fed yet ?
ให้อาหารแก่ลูกไก่แล้วหรือยัง

6. They have decided to increase taxation this year.
= It has been decided to increase taxation this year.
ตกลงกันว่าปีนี้จะขึ้นภาษี

7. Negligence causes many serious accidents.
= Many serious accidents are caused by negligence.
อุบัติเหตุที่รุนแรงหลายต่อหลายครั้ง เกิดจากความประมาท(=ไม่ระมัดระวัง)

คำกริยาซึ่งสามารถทำให้อยู่ในประโยค passive voice ได้
โดยหลักทั่วไป กริยาซึ่งสามารถทำให้อยู่ใน passive voice ได้นั้น ได้แก่ transitive verb (กริยาซึ่งต้องมีกรรม) แต่ก็มีกริยาบางคำที่ไม่สามารถทำได้ โปรดสังเกตจากข้อยกเว้นต่อไปนี้

1. กริยา transitive บางคำไม่อาจทำเป็น passive voice ได้เช่น
He had his breakfast … ไม่สามารถเปลี่ยนเป็น His breakfast was had by …

2. กริยาซึ่งไม่สมบูรณ์ด้วยตนเอง (Verb of Incomplet Predication) จะเปลี่ยนให้เป็น passive voice ไม่ได้ เช่น He became king. ไม่สามารถเปลี่ยนเป็น  A king was become by him. [เหตุผลก็คือ
king ในประโยคแรกเป็น Complement ไม่ใช่ Object]

3. กริยาซึ่งไม่ต้องการกรรม (Intransitive Verb) อาจทำให้อยู่ใน passive voice ได้ ถ้ากริยานั้นมี preposition + object [ทั้งนี้เพราะ intransitive + object มีผลเท่ากับ transitive] เช่น
1. They will look after you well.
= You will be well looked after.
คุณจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

2. I don’t like people looking at me.
= I don’t like being looked at.
ผมไม่ชอบถูกมอง ( = ไม่ชอบให้ใครๆ มอง)

3. They have turned down all our suggestions.
= All our suggestions have been turned down.
ข้อเสนอแนะของเราถูกปฏิเสธ (=ไม่ได้รับการพิจารณา) โดยสิ้นเชิง

และในบางประโยคก็นิยมพูดอย่าง passive voice ไปเลย (โดยไม่นิยมพูดอย่าง active) เช่น

4. His plan was laughed at by everyone who heard it.
โครงการของเขา ถูกทุกๆ คนที่ได้ฟังหัวเราะเยาะ

5. That is a famous bed; it was slept in by Queen Elizabeth I.
นั่นเป็นเตียงที่มีชื่อเสียงมาก พระนางอลิซาเบธที่ 1 เคยบรรทมบนนั้น

6. Such success was never dreamed of when we first started.
ในตอนแรกที่เราเริ่มต้นนั่น เราไม่เคยฝันถึงความสำเร็จเช่นนั้นเลย

การใช้ประโยค passive ที่ไม่มี by …
จากที่กล่าวมานี้จะเห็นว่า ประโยค active ไม่สามารถทำให้เป็น passive ได้ทุกประโยค เราใช้รูปประโยค passive เฉพาะในบางกรณีเท่านั้น ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

1. ใช้รูป passive เมื่อคำนึงถึงผู้ถูกกระทำเป็นสำคัญ เช่น
The house was painted last month.
บ้านหลังนั้น(ถูก)ทาสีเมื่อเดือนที่แล้ว

จุดสนใจของผู้พูดประโยคนี้คือ the house ผู้พูดไม่สนใจว่าใครจะเป็นผู้ทา

2. ใช้รูป passive เนื่องจากไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงผู้กระทำ (เนื่องจากผู้กระทำไม่สำคัญ หรือรู้กันอยู่แล้ว หรือ ไม่เหมาะสมที่จะเอ่ยถึง)

The thieves were all arrested.
พวกขโมยถูกจับทั้งหมด (รู้อยู่แล้วว่าผู้จับคือตำรวจ จึงไม่ต้องเอ่ยถึง)

English is spoken the world over.
ทั่วโลกพูดภาษาอังกฤษ (ผู้พูดคือคนทั่วไป)

3. ใช้รูป passive เนื่องจากไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กระทำ

Printing was invented in China.
การพิมพ์มีขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศจีน (ไม่ทราบแน่ว่าใครเป็นผู้คิดค้น)

การใช้ประโยค passive ที่จำเป็นต้องมี by …
ประโยคบางประโยคก็ไม่นิยมพูดอย่าง active แต่นิยมพูดในรูป passive มากกว่า และต้องบอกผู้กระทำหลัง by ด้วย ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

1. ใช้รูป passive + by เนื่องจากผู้กระทำมีความสำคัญมาก

The operation was performed by Dr. Paul Smith.
การผ่าตัดกระทำโดยหมอ พอลสมิธ

Hamlet was written by Shakespeare.
บทละครเรื่องแฮมเล็ตเขียนโดยเช็คสเปียร์

2. ใช้รูป passive + by เนื่องจากผู้กระทำไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
We were all shocked by the news.
เราทุกคนงงงัน โดยข่าวนั้น (=ข่าวนั้นทำให้เราตกตะลึง)

The explorers were overcome by hunger and exhaustion.
คณะสำรวจตกอยู่ภายใต้ความหิวและอ่อนเปลี้ย

3. ใช้รูป passive + by เนื่องจากผู้กระทำมีข้อความยาวๆ ประกอบอยู่
The door was opened by one of the loveliest girls I have ever seen.
ประตูเปิดโดยเด็กสาวที่น่ารักที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น

4. ใช้รูป passive + by เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนประธานบ่อยๆ    

He arrived in London, where he was met by Clara.
เขาไปถึงลอนดอนและพบกับคลาร่าที่นั่น
(ประโยคที่ต้องเปลี่ยนประธาน คือ He arrived in London, where Clara met him.)

Children under the age of sixteen are not admitted unless they are accompanied by an adult.
เด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีห้ามเข้าเว้นแต่จะมีผู้ใหญ่มาด้วย
[ประโยคที่ต้องเปลี่ยนประธานคือ Children under the age of sixteen are not permitted unless an adult accompanies them.]

กริยาซึ่งมี object สองตัว
กริยาบางคำมี object ได้ 2 ตัว เช่นกริยาต่อไปนี้

give    ให้                    offer  เสนอ, เสนอให้
promise  สัญญา, ให้สัญญา    refuse  ปฏิเสธ(ที่จะกระทำ)
send  ส่ง, ส่งให้                           order  สั่ง, สั่งให้
teach สอน, สอนให้                    pay  จ่าย, จ่ายให้
show  แสดง, แสดงให้ดู            deny  ปฏิเสธ (ความจริง)
lend ให้ยืม                                     prove  พิสูจน์
allow  ยอม, ยอมให้                     answer  ตอบ
ask  ถาม                                        appoint  แต่งตั้ง, นัด(พบ)
tell เรียก                                        sell  ขาย, ขายให้
call  เรียก                                      buy  ซื้อ, ซื้อให้
recommend  แนะนำว่าดี         write  เขียน(ไปยัง)
make ทำ,ทำให้                          fetch      ไปนำมา(ให้)
etc.

Object สองตัวของกริยาดังเช่นที่กล่าวมานี้ ตัวหนึ่งเป็นบุคคลและอีกตัวหนึ่งเป็นสิ่งของ object ซึ่งเป็นสิ่งของนั้นใช้อย่าง Direct Object และ object ที่เป็นบุคคลใช้อย่าง Indirect Object เสมอ
Subject + Verb    Indirect Object (บุคคล)    Direct Object (สิ่งของ)
1. He told                                   me                                          a story.
2. I should give                       him                                        my new car.
3. He gave                                 me                                         some good advice.
4. You owe                                him                                       ten baht.
5. She taught                          Dang                                      French.
6. They gave                          Dang                                      a bicycle for his birthday.

ประโยค active ซึ่งมี object 2 ตัวเช่นนี้อาจทำเป็น passive ได้ 2 แบบ เช่น
He gave me the letter. เขาให้จดหมายแก่ฉัน
= I was given the letter (by him). (1)
= The letter was given to me (by him). (2)

แม้ว่าทั้งสองแบบดังกล่าวมานี้ จะเป็นแบบที่ถูกต้องทั้งคู่ แต่โดยทั่วๆ ไปนิยมใช้ในแบบแรกมากกว่า ตัวอย่างประโยค  passive ต่อไปนี้จะให้ไว้ทั้งสองแบบ แบบแรกเป็นแบบที่นิยมมากกว่า (โปรดสังเกตว่า ไม่นิยมใช้ by)

1. They showed me the palace where the king lived.
พวกเขาให้ผมชมวังซึ่งกษัตริย์ประทับ
= I was shown the palace where the king lived.
= The palace where the king lived was shown to me.

2. They awarded her the Nobel Peace Prize in 1951.
พวกเขา (คณะกรรมการ) ได้มอบรางวัลโนเบลทางสันติให้แก่หล่อน ในปี 1951
= She was awarded the Nobel Peace Prize in 1951.
= The Nobel Peace Prize was awarded to her in 1951.

ประโยค passive ซึ่งนำหน้าด้วย It is + กริยาช่องที่สาม

ประโยคซึ่งผู้กระทำเป็นคนทั่วไป (people) มักนิยมพูดในรูป passive โดยไม่กล่าวว่าใครเป็นผู้กระทำ (เช่น ข่าวลือ ข่าวซุบซิบ) เช่น

1. It is said that he is a millionaire.
กล่าวกันว่าเป็นเศรษฐี
= People say that he is a millionaire.

2. It is known that she is greedy for money.
เป็นที่รู้กันว่าหล่อนเป็นคนกระหายเงิน(งกเงิน)
= People know that she is greedy for money.

3. It is expected that she will eventually marry him.
คาดกันว่าลงท้ายหล่อนก็จะแต่งงานกับเขา
= People expect that she will eventually marry him.

กริยาช่องที่สาม ซึ่งอยู่หลัง It is ในประโยคทำนองนี้ มักจะได้แก่กริยาต่อไปนี้

It is believed that …      เชื่อกันว่า (ใครเชื่อ? คนทั้งหลายเชื่อ)
It is expected that …    คาดกันว่า (ใครคาด ? คนทั้งหลายคาด)
It is hoped that …          หวังกันว่า (ใครหวัง ? คนทั้งหลายหวัง)
It is known that …         ทราบกันว่า (ใครทราบ ? คนทั้งหลายทราบ)
It is said that …               กล่าวกันว่า (ใครกล่าว ? คนทั้งหลายกล่าว)

นอกจากจะใช้ It is (หรือ It was) แล้ว ยังอาจใช้บุคคลนั้นๆ เป็นประธานของกริยาเหล่านี้ได้ด้วย โดยใช้โครงสร้างต่อไปนี้

1. It is said that he is a millionaire.
= He is said to be a millionaire.
กล่าวกันว่าเขาเป็นเศรษฐี

2. It is expected that she will eventually marry him.
= She is expected to marry him eventually.
คาดกันว่าลงท้ายหล่อนก็จะแต่งงานกับเขา

จงดูประโยคในตารางต่อไปนี้

ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกับประโยคในตารางต่อไปนี้

การใช้ get แทน be ในประโยค passive
กริยาในประโยค passive อยู่ในรูป กริยาช่องที่สาม เช่น He was lost. Several glasses were broken. ซึ่งอาจใช้กริยา get แทน be ได้ คือ

He was lost.                                        = He got lost.
Several glasses were broken.     = Several glasses got broken.

ความหมายประโยคที่ใช้ verb to be มีความหมาย บอกสภาวะ (state)
ประโยคที่ใช้ get มีความหมาย บอกอาการที่บังเกิดขึ้น (occurrence)

State                                       Occurrence
He was lost in the snow.               He got lost in the snow.
เขาหายไปในหิมะ                               เขาหลงทางไปในหิมะ

Several glasses were broken.     Several glasses got broken.
แก้วแตกไปหลายสิบ                          แก้วหลายใบถูกทำแตก

She was very upset                         because she didn’t get invited.
หล่อนกลัดกลุ้มมาก                            เพราะว่าไม่มีใครเชิญหล่อน

กริยาที่มีความหมาย passive
1. The stone feels rough. (= is rough when it is felt)
หินก้อนนั้น(รู้สึก)ขรุขระ (=หยาบ)

2. Honey tastes sweet (=is sweet when it is tasted)
น้ำผึ้งมีรสหวาน

3. This milk smells sour, (=is sour if it is smelt)
นมนี้มีกลิ่นเปรี้ยว

4. Your composition reads well. (=sounds well when it is read)
เรียงความของคุณอ่านดี ( = อ่านเพลิน, สนุก)

5. His house is building. (=is in the state of being built)
บ้านของเขากำลังสร้างอยู่

6. The cannons are firing, (-are being fired)
ปืนใหญ่กำลังยิง

7. My new book is printing. (= is being printed)
หนังสือเล่มใหม่ของผมกำลังพิมพ์อยู่

8. The cows are milking. (=are being milked)
พวกแม่วัวกำลัง (ถูก) รีดนม

9. This road needs repairing. (= needs being repaired)
ถนนนี้ต้องการการซ่อมแซม

ที่มา:เลิศ  เกษรคำ